ประเด็นน่ารู้ภาพยนตร์เรื่อง Insurgent คนกบฏโลก ที่นำมาให้อ่านกันวันนี้ สรุปย่อเรื่องราว หลังจากภาคแรกฟันรายได้ไป 288 ล้านเหรียญ แม้จะได้รับกระแสแตกต่างกันไปทั้งชื่นชมและตำหนิ แต่ต้องยอมรับว่ามันกลายเป็นแฟนไชล์ที่ประสบความสำเร็จไปแล้วอีกเรื่อง ที่น่าสนใจคือการเปลื่ยนมือผุ้กำกับเป็น Robert Schwentke ที่เพิ่งคว่ำสนิทกับ R.I.P.D. (2013) แม้จะมีผลงานที่แฟนๆชื่นชอบอย่าง The Family Jewels (2003) The Time Traveler’s Wife (2009) และ RED (2010) มันก็ยังต้องลุ้นกันหนักพอสมควรว่าจะทำได้ดีแค่ไหน?!!.ในองค์รวมต้องบอกเลยว่าเป็นภาคต่อที่นำเสนอได้เพลิดเพลินขึ้น เส้นเรื่องดูจะเข้ารุปเข้ารอยในการเล่าเรื่องเพราะไม่จำเป็นต้องเวิ่นเว้อหลายสิ่งแบบภาคแรก หลายฉากมีการถ่ายทำที่ดีในแง่การกำกับ โดยใส่จังหวะจะโคนให้ฉากธรรมดาๆดูมีความน่าติดตามกว่าน่ารำคาญ แม้เนื้อหาจะยังขาดตรรกะให้น่าเชื่อถือบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะวิธีคิดหรือการกระทำที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลของตัวละคร (แหม่.. ก็วัยรุ่นนินะ) มันจึงกลายเป็นการเล่าเรื่องที่ดีขึ้นสวนทางกับมิติตัวละครที่ราบแบน จนคนดูไม่อินกับความดีหรือความเลวที่พยามยัดเข้ามาในหลายๆฉาก (เสียดายบรรดานักแสดงดีกรีรางวัลอย่าง Kate Winslet, Naomi Watts, Octavia Spencer และรุ่งพุ่งแรงอย่าง Miles Teller, Ansel Elgort, Jai Courtney ที่โดดเด่นในผลงานช่วงหลังกันมาก) จะมีที่อุ้มชูหนังได้อยุ่ก็คือ Tris ที่ Shailene Woodley ใส่ความซับซ้อนกว่าคนอื่นๆ และเห็นถึงพัฒนาการจากภาคที่แล้ว ที่เธอยังสวยใส จิตใจอ่อนแอ และมองโลกในแง่ดี ในภาคนี้เผยด้านความรุนแรงและแข็งแกร่งอย่างชัดเจน แม้เพื่อปิดบังความเจ็บปวดในจิตใจไม่ให้ใครรับรุ้ก็ตาม.. ด้านบทภาพยนตร์ก็ไม่ได้ขยับขยายไปไหนไกล แค่การเปลี่ยนสถานะเป็นพวกกบฏและโดนไล่ล่าจนบังเอิญไปเจอ Factionless (พวกไร้กลุ่ม) ที่ผุ้นำมีความสัมพันธ์กับ Four ที่มีปมอดีตแต่ก็ไม่ได้ชวนเชื่อเช่นเคย ประเด็นแบ่งกลุ่มที่คล้ายสอดแทรกวิถีของการเมือง กับคุณสมบัติเฉพาะส่วนบุคคลในภาคแรก อาทิ Dauntless (กลุ่มผุ้กล้า), Amity (กลุ่มผุ้รักสงบ), Abnegation (กลุ่มผุ้เสียสละ), Erudite (กลุ่มทรงปัญญา), Candor (กลุ่มผุ้ซื่อสัตย์) ก็ยังไม่ได้รับสาระเพื่อต่อยอดอะไรมากขึ้น จากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปโดยใส่ความเว่อร์วัง ทั้งงานภาพและฉากที่ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดให้มากความ ระหว่างชมคล้ายมีมือใครบางคนมาคอยตบหัวเราเป็นพักๆ แล้วบอกให้นั่งดูเฉยๆสลับยัดป๊อบคอร์นเข้าปากไปซะ อืมมมๆๆ.. ด้านไคล์แม็กซ์ที่คล้ายจะเชื่อมโยงความเป็น Divergent จากการใช้ความสามารถเพื่อเปิดผนึกสานส์ลับของผุ้ก่อตั้ง แต่แล้วก็ไม่มีอะไรนอกจากนำไปสู่ปริศนาลำดับต่อไปในภาคหน้า แฟนๆอย่าลืมตามดูกันต่อให้จบนะ ภาคสุดท้ายผุ้สร้างเค้าจะแยกเป็นสองตอนคือ Allegiant: Part 1 และ Part 2 เพื่อทำเงิน เอ๊ยย เพื่อเล่าเรื่องได้เต็มที่ และท้ายนี้ข้อดีสูงสุดของ The Divergent Series ก็คือเมื่อหลายคนดุจบจะเห็นคุณค่า และสาระของแฟนไชล์ The Hunger Games ขึ้นมาทันที.. อุ๊ยยย พิมอะไรออกไป บ้าจริง!!
